ในช่วงฤดูแล้งที่น้ำไม่เพียงพอแบบนี้ หลายพื้นที่ในไทยโดยเฉพาะภาคกลางและภาคเหนือ เริ่มเผชิญกับปัญหาน้ำไม่พอใช้ในการทำนาปรัง ซึ่งเป็นข้าวที่ต้องอาศัยน้ำมากพอสมควร แล้วแบบนี้เราควรทำยังไงดี? คำตอบคือ “หันมาปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทนข้าวนาปรัง” นั่นเอง

แล้วพืชใช้น้ำน้อยคืออะไรบ้าง?
พืชใช้น้ำน้อยคือพืชที่สามารถเติบโตได้ดีในสภาพที่มีน้ำจำกัด เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ฟักทอง งา มันสำปะหลัง พริก มะเขือเทศ ฯลฯ ซึ่งพืชเหล่านี้มีข้อดีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรัพยากรน้ำน้อย ต้นทุนการผลิตต่ำ และบางชนิดสามารถเก็บเกี่ยวได้เร็วกว่า ทำให้หมุนเวียนรายได้ได้ดีขึ้น

ทำไมถึงไม่ควรปลูกข้าวนาปรังในช่วงหน้าแล้ง?
การปลูกข้าวนาปรังในฤดูแล้งอาจเสี่ยงต่อการขาดน้ำ เพราะต้องใช้น้ำสูงถึง 1,200 ลบ.ม. ต่อไร่ แถมยังเสี่ยงเจอภัยแล้ง น้ำไม่เพียงพอ ส่งผลให้ผลผลิตต่ำ ขายไม่ได้ราคา และขาดทุนอีกด้วย แถมยังทำให้เกิดปัญหาเรื่องแย่งใช้น้ำกับภาคอุตสาหกรรมและประชาชนทั่วไป

แล้วรัฐสนับสนุนอะไรบ้าง?
กระทรวงเกษตรฯ และกรมส่งเสริมการเกษตรมีโครงการรณรงค์ให้เกษตรกรลดการทำนาปรัง แล้วหันมาปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทน พร้อมให้คำปรึกษา ถ่ายทอดความรู้ แนะนำพันธุ์พืชที่เหมาะกับแต่ละพื้นที่ และมีการเชื่อมโยงตลาดรองรับผลผลิตจากพืชเหล่านี้ เช่น ผ่านตลาดเกษตรกร หรือช่องทางออนไลน์

ปลูกพืชใช้น้ำน้อย… ได้มากกว่าที่คิด

  • ลดความเสี่ยงขาดทุนจากภัยแล้ง

  • ใช้น้ำน้อย แต่ได้ผลผลิตไว

  • ต้นทุนต่ำ กำไรดีกว่า

  • ตลาดเริ่มต้องการพืชทางเลือกมากขึ้น

  • ช่วยรักษาทรัพยากรน้ำ และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

ตัวอย่างความสำเร็จจากเกษตรกร
ที่จังหวัดชัยนาท เกษตรกรจำนวนไม่น้อยเลือกเปลี่ยนจากการทำนาปรัง มาเป็นปลูกถั่วเขียวแทน ซึ่งใช้เวลาปลูกแค่ 75-80 วัน และใช้น้ำน้อยกว่าครึ่งของข้าว ผลผลิตขายได้ราคาดี และยังสามารถปลูกต่อได้อีกในฤดูฝน กลายเป็นการหมุนเวียนรายได้ที่มั่นคงกว่าเดิม

สรุปง่ายๆ
ในยุคที่น้ำมีค่าแบบนี้ ปลูกพืชใช้น้ำน้อยเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่แค่รอด แต่ “รวยได้จริง” ถ้าเลือกพืชให้เหมาะกับพื้นที่ วางแผนดี และใช้เทคโนโลยีเกษตรเข้าช่วย ก็สามารถเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรไทยได้อย่างยั่งยืนแน่นอน